หน้าเวบ

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ร้อนสุดขั้น ณ ปรัมบานัน

   8 โมงล้อเคลื่อนออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปปรัมบานัน หรือ Candi Prambanan เทวสถานของฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย (ลุงคนขับออกเสียงปรัมบานันได้ลิ้นรัวมาก) ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เพราะลุงขับรถเลาะเลี้ยวไปตามทางเล็กๆ เหมือนว่าจะเป็นทางลัดของลุง 


   ไปถึงปรัมบานัน รับรู้ได้ถึงความร้อนของแดด คนจำนวนนึงกางร่ม เรารีบหยิบผ้าที่พกติดตัวไว้ตลอดมาพันบังแดดไว้ เพราะไม่ได้พกร่มมา T^T


   ลุงคนขับรถวิ่งไปซื้อตั๋วให้เราตกคนละ 18$ ราคาโหดมาก ลุงถามเราว่าเป็นนักเรียนกันรึเปล่า เราก็บอกว่าไม่ได้เป็น ซื่อสัตย์สุดๆ ลุงไปซื้อตั๋วมา ในตั๋วเขียนเป็นตั๋วสำหรับบริษัททัวร์ (คาดว่าน่าจะได้ราคาพิเศษ) และตรงบัตรที่เอาไว้สอดตรงประตูทางเข้า ยังแอบเห็นว่าบัตรเขียนว่าสำหรับนักเรียน (ลุงได้เยอะนะเนี่ยจากค่าบัตร) ไม่เป็นไร ถือว่าให้ลุงที่บริการดี



   ก่อนเดินเข้าประตูมีเจ้าหน้าที่ถามว่าต้องการไกด์รึเปล่า (เสียค่าบริการ) เราคิดว่าเราคงดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้จะหาสาระอะไร เราก็เลยไม่ได้จ้างไกด์เพิ่ม เข้าไปเที่ยวชมปรัมบานันต้องนุ่งผ้า คราวนี้เจ้าหน้าที่กลัวเราพันผ้าไปเป็น ช่วยเราแต่งตัวด้วยนะเออ

   แดดร้อนสุดๆ เรากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่กลุ่มพระปรางค์ของปรัมบานัน กว่าจะเดินถึงทางเดินไกลพอสมควร


   พอไปถึงเจอแต่คนอินโดนีเซีย แสดงว่าที่นี่เป็นที่เที่ยวยอดฮิตของชาวอินโดนีเซียแน่ๆ เลย ผู้คนแต่งตัวสีสันสดใส กางร่มก็สีสันสดใส มีเด็กๆ นักเรียนมาเที่ยวชมเป็นกลุ่ม (สงสัยโรงเรียนพามาทัศนศึกษา)




   เดินดูด้านนอกสักพักก็ไปต่อแถวเข้าวิหารองค์ใหญ่สุดตรงกลาง (พระปรางค์) ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร โดยต้องรอคิว เพราะเราต้องใส่หมวกกันน็อคสีเขียวเข้าไปด้วยเพื่อความปลอดภัย เท่าที่อ่านมา เค้าบอกว่าหลังจากเกิดแผ่นดินไหวคราวก่อนทำให้เกิดความเสียหายต่อพระปรางค์ เลยกลัวว่าหินจะตกใส่หัว แต่พอเข้าไปเดินชมในวิหารแล้ว จะเข้าใจว่าให้ใส่ทำไม คิดว่ากันหัวโขกกันตามขอบประตูต่างๆ มากกว่า :)



    เดินวนๆ ได้ไม่นานก็ออกมา เพราะคนเยอะ และแดดร้อน และคาดว่ามีคนรอคิวหมวกอีกจำนวนหนึ่ง



    คืนหมวกเสร็จก็เดินไปออกด้านข้าง มุ่งตรงไปยังกลุ่มเทวสถานอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน (แอบเห็นตอนนั่งรถผ่านมา)


    เดินไปได้ซักพักคิดว่าเราคงเดินต่อไปไม่ไหว ทั้งไกล ทั้งร้อน... ทันใดนั้นเอง เหลือบไปเห็นรถราง เย้ๆ ดีใจดั่งได้ทอง อ่านป้ายว่าสำหรับต่างชาติขึ้นฟรี (ใช่สิ ฉันจ่ายค่าเข้าแพงๆมาแล้ว) สำหรับชาวอินโดนีเซียต้องเสียเงินเพิ่ม เราก็ไปถามป้าที่ห้องซื้อตั๋ว ป้าบอกว่ารถจะออกถ้ามี 8 คนเป็นอย่างน้อย อะไรนะ... มีงี้ด้วย... แย่หล่ะ เรามีกัน 6 คน ทำไงๆ เล็งๆไป เล็งมา เจอฝรั่งเดินมา 2 คน เลยชวนเค้านั่งรถไปเที่ยวกัน ฝรั่ง 2 หนุ่มสุดฮอตของนักเรียนอินโดตอบตกลง (สาวๆ อินโดของ 2 หนุ่มนี้ถ่ายรูปด้วยเยอะมากๆ)

    รถขับวนรอบๆ อย่างรวดเร็ว และไปหยุดตรงกลุ่มเทวสถานกลุ่มหนึ่งที่ด้านหน้ามีแต่กองหินมากมาย คาดว่าเสียหายจากแผ่นดินไหว และยังบูรณะไม่เสร็จ ลุงบอกให้เวลา 5 นาที ลงจากรถปุ๊บ มีคนมาขายน้ำปั๊บ คาดว่าลุงคนขับรถนัดแนะกับคนขายน้ำไว้แล้วแน่ๆ เพราะลุงจอดอยู่สถานีเดียว ส่วนอื่นๆ สวยๆ ก็มี แต่ลุงไม่จอด!

   5 นาทีอันมีค่า รีบเดินดูด้วยความรวดเร็วอยู่ด้านหน้า ถ่ายรูปกับยักษ์ใหญ่ที่เฝ้าประตูทางเข้า หมดเวลา...

   รถวนไปส่งที่ด้านหน้าของปรัมบานัน ตอนออกเราต้องเดินผ่านร้านรวงของที่ระลึกมากมาย ใครอยากซื้อของฝากอะไรก็ซื้อที่นี่ได้ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ก็เลือกซื้อกันไป ตามใจชอบ

    ราวเที่ยงตรงเราก็มาตามลุงคนขับ บอกว่าไปส่งกินข้างกลางวันที แล้วเดี๋ยวจะกลับละ
    กินข้าวอิ่มหนำ สำราญที่ร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติที่ลุงรู้จัก เสร็จแล้วลุงก็ขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟด้วยอารมณ์สดใส

    ก่อนจากกัน ลุงกล่าวสั้นๆ ว่า "don't forget me" ลุงคะ หนูไม่ลืมลุงหรอกค่ะ แต่หนูยังไม่รู้จักชื่อลุงเลย... แต่หนูก็ประทับใจลุงนะ กล่าวอำลาลุง พร้อมกับจ่ายเงินค่ารถ 2 วัน หมดไป 950,000 IDR พร้อมกับน้ำใจให้ลุงนิดหน่อย


   ลาแล้วยอร์คยา... แล้วเราจะคิดถึงเธอ ^^

https://www.facebook.com/Wesetoff



วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตื่นตี 3 มารอพระอาทิตย์ขึ้นที่บุโรพุทโธ

     

     วันนี้ต้องตื่นแต่เช้า จัดการล้างหน้าแปรงฟัน แล้วตรงดิ่งมาที่ reception ของโรงแรม Manohara ราวตี 4 เพื่อมารวมตัวกัน รับผ้าหนึ่งผืน (ใช้สำหรับนุ่ง) ตั๋ว 1 ใบ ไฟฉาย 1 กระบอก (ทั้งหมดนี้ราคา 230,000 IDR สำหรับคนพักโรงแรม เป็นราคา Sunrise tour) ถ้าไม่ซื้อตั๋วนี้จะไม่สามารถขึ้นไปก่อน 6 โมงเช้าได้ พอได้ตั๋วพวกเราก็รีบเดินไปยังบุโรพุทโธ พอไปถึงประตูยังไม่เปิด เจ้าหน้าที่เพิ่งจะมา สรุปเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่ก้าวเข้าบุโรพุทโธของวันนี้ ฮูเร่.... ฮ่าๆ


    เดินขึ้นไปชั้นบนสุด บันไดแอบชันเล็กน้อย ออกอาการหอบนิดหน่อย พอขึ้นไปถึง...ต่างคนต่างเล็งว่าพระอาทิตย์จะขึ้นตรงไหน ตอนนั้นหาทิศไม่เจอ (ไม่ได้พกเข็มทิศ) เพราะมืดมาก มีเพียงแสงอ่อนๆจากสปอร์ตไลท์ที่ส่องบุโรพุทโธทั้งสี่ด้านมาจากแดนไกล



    เวลาผ่านไปไม่นาน เราก็ค้นพบทิศที่พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ด้วยการเดาจากจำนวนคนที่ยืนเล็งกันอยู่แถวนั้น และจากการลองถ่ายภาพด้วยกล้องดู เราจะได้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นจากด้านเดียวกับภูเขาไปเมอราปิ

    ขอกล่าวถึงบุโรพุทโธแบบย่อๆ บุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน (แปลกแต่จริง.. ศาสนาสถานที่สำคัญของพุทธมหายานกลับอยู่ในประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลก) ถ้าไม่นับรวมนครวัด (ศาสนาสถานของพรามหมณ์-ฮินดูและพุทธ) บุโรพุทโธถือได้ว่าเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!!! อ่านเพิ่มเติมเอาเองได้ที่ Wikipedia และ Tripdeedee






     ราวตี 4 ครึ่ง....แสงของพระอาทิตย์ค่อยๆ เปล่งประกายมาจากทางด้านหลังของเมอราปิ ผู้คนเริ่มขยับเดินหามุม บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็นั่งมอง บ้างก็นั่งคุย มันเป็นภาพที่ประทับใจ ทั้งวิวตรงหน้า วิวที่เรายืนอยู่ วิวผู้คนรอบข้าง


   เกือบจะตี 5 เหมือนเวลานัดของพระอาทิตย์ หลังจากที่ปล่อยให้แสงเป็นพระเอกอยู่นาน ก็ถึงเวลาออกแสดงของพระอาทิตย์จริงๆ ซะที พระอาทิตย์ลูกเล็กๆ กลมๆ สีแดงจ้า...ใช้เวลาขึ้นจากด้านข้างเมอราปิไม่ถึง 5 นาที พระอาทิตย์ก็กลายเป็นพระอาทิตย์ดวงโตๆ ที่เราไม่สามารถมองและสู้กับพลังของพระอาทิตย์ได้
   



    หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว บริเวณบุโรพุทโธก็สว่างขึ้นมาทันที เราเดินวนรอบๆ พร้อมกับอธิษฐานและเอามือไปสัมผัสกับพระพุทธรูปในสถูป (โดยมีความเชื่อว่าถ้าสามารถยืนมือไปสัมผัสได้จะสมหวังและโชคดี)



    เดินเก็บบรรยากาศ ซึมซับศิลปะที่ไม่คุ้นเคย เราเดินวนรอบเพียงแค่ชั้นบนสุดกับชั้นกลาง ส่วนชั้นล่างสุดนั้นวนได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น



    ภาพบุโรพุทโธรวมที่ยิ่งใหญ่

     เวลาราว 6.30เราก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางเดินกลับ เจอพ่อค้าขายของที่ระลึกมากมายรุมขายของให้เรา จริงๆ ก็อยากจะหยุดดูของที่ระลึก แต่พ่อค้าน่ากลัวเกินไป ไล่ตามประกบ ประชิด และบอกราคาแพงเวอร์ ดังนั้น เรามีเทคนิคการซื้อของที่ระลึกดังนี้

   ขั้นประเมินสินค้า มองด้วยความรวดเร็วว่ามีสิ่งที่อยากได้หรือไม่ ถ้าไม่มีให้รีบเดิน และอย่าไปสนใจ อย่าถาม อย่ามอง อย่าทำอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้ามี ให้ทำขั้นต่อไป

   ขั้นต่อราคา รีบมองและรีบคิดราคาสินค้านั้นไว้ในใจ เอาราคาที่เราพึงพอใจ อย่าไปคิดว่ามันจะถูกหรือแพงไป เอาตัวเองเข้าว่า แล้วพูดออกไปเลยว่าต้องการราคาเท่านี้ แล้วเดินต่อไปอย่าหยุด ไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง ให้ยืนยันราคาเดิม อย่าได้อ่อนไหว และสุดท้ายคุณจะได้สินค้านั้นมาครอบครองในราคาที่คุณพึงพอใจ เมื่อซื้อสินค้าแล้วให้ทำขั้นต่อไป

   ขั้นปิดราคา ขั้นนี้ถือว่าสำคัญมาก ถ้าซื้อสินค้ามาแล้ว ให้เก็บเอาไว้ ใครถามก็ไม่ต้องบอกว่าซื้อมาเท่าไหร่ หรือถ้าไปเจอร้านค้าขายของเหมือนกัน ก็อย่าได้ไปถาม เพราะไม่งั้นอาจมีเจ็บใจ :p
   

    ด้วยเทคนิคดังกล่าว... เราเลยได้หินแกะรูปบุโรพุทโธกลับมาเมืองไทยด้วย ในราคาที่เราพึงพอใจ ดังนั้นจะไม่บอกว่าราคาเท่าไหร่ ให้ไปต่อกันเอาเอง อิอิ ^^

    เสร็จแล้วก็เดินไปกินข้าวที่ coffee shop ของโรงแรม แล้วอาบน้ำแต่งตัว เดินทางกันต่อ



    อำลาบุโรพุทโธด้วยความประทับใจ...

https://www.facebook.com/Wesetoff
    

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปู๊น ปู๊น ไปยอร์คยา...


   ช่วงสายของวันที่ 1 พฤษภาคม 2556



หลังจากชื่นชมความงามของโบรโม่แล้ว เราก็กระโดดขึ้นรถเพื่อเดินทางเข้าเมืองสุราบายา ลุงคนขับแวะให้เรากินข้าวที่ปั้มน้ำมัน มื้อนี้... ลองชิม Nasi Goreng หรือข้าวผัด (ไก่) นั่นเอง Nasi แปลว่า ข้าว Goreng แปลว่า ผัด

โดดขึ้นรถลุงอีกรอบ มุ่งตรงสู่สถานีรถไฟ!! 

จากเมืองสุราบายาไปเมืองยอคยาฯ ระยะทางประมาณ 330กม.

ที่เมืองสุราบายา สถานีรถไฟที่เราจะเดินทางกันไปต่อชื่อว่า Surabaya Gubeng ดูแล้วเป็นสถานีที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวนะ ภายในสถานีรถไฟมีร้านค้าค่อนข้างเยอะ 



อดีตร้านขนมสุดฮิต ครั้งนึงก็สร้างปรากฏการณ์ต่อแถวเป็นหางว่าวที่ไทยเรา อิอิ...

เห็นอากาศร้อนๆอย่างนี้ ที่นี่ก็ยังมีดนตรีสด เล่นบรรเลงให้ผู้คนที่มารอขึ้นรถไฟคลายเครียดกันไปได้บ้าง...




เรามาถึงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เวลาเหลือเฟือ แต่ไม่มีที่ไป เพราะสถานีรถไฟไม่อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวใดๆ ทำให้เราตัดสินใจไปซื้อโดนัทกิน และก็นั่งแช่ในร้าน Dunkin' Donuts เล่นเนทฟรีในดังกิ้นโดนัทแบบยาวๆ กันไป แต่ก่อนจะไปนั่งแช่ เราต้องทำการเอาตั๋วที่เราจองออนไลน์ไปแลกเป็นตั๋วจริงก่อน เดินตรงไปที่เคาท์เตอร์พร้อมกับโชว์ตั๋วออนไลน์ที่เราปรินส์มาแนบกับพาสปอร์ต เสร็จแล้วเค้าก็ให้ตั๋วรถไฟตัวจริงมา


นั่งหมดแรงกินโดนัทอยู่ซักพักใหญ่ ก็ออกมานั่งรอรถไฟที่ชานชาลา ได้ยินเสียงประกาศเรียกพร้อมกับยกนาฬิกาดู ใช่แน่ๆ ขบวนนี้คือขบวนของเรา รีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินไปที่ขบวนรถไฟ 




ถึงเวลาขึ้้นรถไฟโดยประมาณเกือบบ่ายสามโมงครึ่ง


ไล่ถามพนักงานว่าโบกี้ของเราอยู่ไหน เค้าก็ชี้ให้เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ โบกี้ที่เรานั่งติดกับตู้เสบียง อะไรจะดีขนาดนี้ ไม่อดตายแล้วเรา :) พอขึ้นรถ มองสภาพที่นั่งก็ไม่ต่างจากรถไฟบ้านเรานัก เก่าพอๆกัน สะอาดกว่านิดนึง แต่!!! ห้องน้ำสะอาดกว่าหลายขุม ณ จุดนั้นปลื้มสุดๆ รถไฟออกจากสถานีที่เมืองสุราบายาประมาณบ่าย 3.45 ถึง 2 ทุ่มครึ่งค่อนข้างตรงต่อเวลา ช้าไม่เกิน 10-20 นาที


ตู้ถัดจากที่เรานั่งอยู่ เป็นตู้ที่ไม่มีแอร์ มีพัดลมเรียงกันเป็นยาวๆ ประมาณ 5-6 ตัว พอคลายร้อนกันไป...





ระหว่างนั่งนอนบนรถไฟ เราก็เดินไปสำรวจโน่นนี่นั่นบนรถไฟ และหาของกิน ณ ตู้เสบียง และสิ่งที่เรากินก็คือ Bakso อีกแล้ว คราวนี้นอกจากจะมีลูกชิ้นเนื้อแล้ว ยังมีเหมือนเกี๊ยวด้วย หรือถ้าใครขี้เกียจเดินไปตู้เสบียง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิว เพราะจะมีพนักงานเดินขายของอยู่ตลอดการเดินทาง ทั้ง Nasi Goreng, Mie Goreng (หมี่ผัด หรือมาม่าผัด), Bakso และน้ำต่างๆ

 

   ...จบการเดินทางด้วยรถไฟแบบอิ่มท้องและหลับสบาย... 



ขั้นตอนการจองตั๋วรถไฟออนไลน์ (ฉบับภาษาอินโดนีเซีย เพราะเว็บไซต์ยังไม่มีภาษาอังกฤษ)

1.เข้าเว็บ http://tiket.kereta-api.co.id/  และใช้วุ้นแปลภาษา (กดปุ่มแปลภาษา ใช้ google   chorme)สถานีต้นทาง จากสุราบายา (Gubeng Surabaya) ไปลงที่ยอร์คยาการ์ตา เลือกสถานี Yogyakarta/)



2.เลือกเที่ยวรถไฟ ควรเลือก Eks (ย่อมาจาก executive class มีแอร์) Bis (business class ไม่มีแอร์) ตามเวลา เราเลือก Sancaka Sore ที่นั่ง Eks ราคา 200,000IDR เป็นรถไฟคล้ายบ้านเรา แต่ถ้านั่ง Argo Wilis ที่นั่งจะไฮโซกว่านิดนึง แต่ส่วนมากมีแต่เที่ยวเช้าตรู่ เลือกเวลาที่เหมาะสมแล้ว ก็กด Booking

3.      เช็คเครืองหมายในกล่องด้านล่างและกดปุ่มสีส้ม (Lanjutkan = continue) เพื่อดำเนินการต่อ


4.กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน Data pemesan คือ ข้อมูลผู้ติดต่อ


5.      ขั้นต่อไปคือการเลือกที่นั่ง คอมพิวเตอร์จะเลือกให้อัตโนมัติ ไม่พอใจก็เปลี่ยนได้ และเลือกวิธีการจ่ายเงิน ชาวต่างประเทศอย่างเราคงจ่ายได้ทางเดียวคือ ทางบัตรเครดิต เสร็จแล้วคลิก selanjutnya 

6. กรอกข้อมูลบัตรเครดิต และดำเนินตามขั้นตอนการจ่ายเงินปกติ เป็นอันเสร็จสิ้น